ศัลยกรรมใบหน้า เพื่อคงความอ่อนเยาว์

ใบหน้าก็เหมือนอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย ที่จะต้องเสื่อมสภาพตามวัย เป็นไปตามธรรมชาติไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้วิวัฒนาการทางการแพทย์เพียงแค่เป็นตัวช่วยให้การเสื่อมสภาพนั้นช้าลงหรือดูน้อยลงได้บ้างถ้าได้รับการดูแลที่ถูกวิธี

การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อน ให้เพียงพอ ออกกําลังกายสม่ำเสมอ งดเครื่องดื่มมึนเมาและการสูบบุหรี่ เป็นหัวใจสําคัญที่ต้องปฎิบัติให้ได้ก่อน จึงจะทําให้เครื่องมือหรือวิธีการทางศัลยกรรมตกแต่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ได้ผลดี

หลักการ 4R คงใบหน้า กระชากวัย

ใบหน้าที่เสื่อมสภาพตามวัย สามารถดูแลรักษาและมีวิธีแก้ไขได้ ตาม หลัก 4 R คือ

1. Resurface

เมื่อเริ่มสู่วัยกลางคนผิวหนังจะเริ่มเสื่อมสภาพโดยผิวแห้งลง มีรอยจุดด่างดําหรือกระ เพิ่มขึ้น การดูแลผิวพรรณทางผิวหนัง เช่น ครีมกันแดด การใช้ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (moisturizer) ก็จะช่วยปกป้องผิวให้เสื่อมช้าลง เครื่องมือทางการแพทย์ในการรักษาความเสื่อมผิวให้เสื่อมช้าลง เครื่องมือทางการแพทย์ในการรักษาความเสื่อมผิวชั้นนอกนี้ คือ IPL (Intense Pulse Light) หรือคลื่นแสงอีกหลากหลายชนิด แต่ จะช่วยเฉพาะส่วนของสีผิว ไม่ช่วยเรื่องการหย่อนของผิว

2. Relax

ริ้วรอยเหี่ยวย่นในคนที่อายุไม่มากนัก ผิวหนังไม่หย่อน คล้อยมาก การใช้ โบทูลินัม ท็อกซิน (botulinum toxin) จะหยุดการ ทําางานของกล้ามเนื้อ ที่แสดงอาการของใบหน้า ทําาให้ไม่เกิดริ้วรอย ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี หรือฉีดมากไปใบหน้าจะแข็ง ไม่แสดงความรู้สึก

3. Resuspension

ใบหน้าหย่อนคล้อย เนื่องจากผิวหนังขาดความยืดหยุ่น จะเห็นร่อยการหย่อนตัวของผิวหนังตามแรงโน้มถ่วง ตั้งแต่หางคิ้ว หางตา ร่องแก้ม และมุมคาง จนถึงคอ รอยย่นจากสาเหตุนี้ การใช้ยาฉีดพวกโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum toxin) จะไม่ได้ผล การรักษาส่วนนี้ สมัยก่อนคือการผ่าตัดดึงหน้า แต่ปัจจุบันมีวิวัฒนาการการใช้เทคโนโลยี และการผ่าตัดที่เล็กลง เพื่อลดระยะเวลาพักฟื้นของผู้ป่วย โดยจะเริ่มจากการใช้เครื่องมือที่ทำให้เกิดการชอกช้ำน้อยๆ ได้ผลการเปลี่ยนแปลงไม่มากไปจนถึงการผ่าตัดที่ทำมากได้ผลการเปลี่ยนแปลงมาก แต่ต้องแลกกับระยะเวลาการพักฟื้นที่นานกว่าเหล่านี้ วิธีการเหล่านี้ ได้แก่

การใช้คลื่นพลังงาน การใช้คลื่นพลังงานชนิดต่างๆ ทําให้เกิดการบาดเจ็บในชั้นใต้ผิวหนัง โดยไม่ทําอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก แต่กระตุ้นให้เกิดพลังงานความร้อนขนาดที่เหมาะสม หรือคือการเผาเนื้อชั้นในโดยไม่ทําอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก จึงไม่เกิดร่องรอยที่ผิวหนัง

โดยแหล่งพลังงานนี้ แต่ละบริษัทที่คิดค้นจะแตกต่างกันไป แต่ก็หวังผลเดียวกันคือใช้ความร้อนเผาให้เกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ใบหน้าก็อาจจะดูตึงกระชับขึ้นได้บ้าง ในระยะเวลาหนึ่งซึ่งไม่นานนัก จึงต้องทำสม่ำเสมอ เครื่องมือที่รู้จักกันในประเทศไทย เช่น

Fraxel laser คือเครื่องมือที่ใช้พลังงานเลเชอร์ยิงผิวหนังเป็นจุดๆ แม้จะทำลายผิวหนังชั้นนอกบ้างแต่ผิวหนังข้างเคียงระหว่างจุดที่ยังสามารถซ่อมแซมได้โดยไม่เกิดแผลเป็น

Thermage คือการใช้คลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ทำให้เกิดความร้อนเผาใต้ชั้นผิวหนัง

 
Screen Shot 2563-05-25 at 09.05.57.png
 

HiFU/Ulthera ทั้งสองตัวนี้ใช้ high focus ultrasound คือ คลื่นเสียงความถี่สูง เป็นพลังงานกระตุ้นให้เกิดความร้อนเผาใต้ชั้นผิวหนัง บนตําแหน่งที่ต้องการ (focus area)

 
Screen Shot 2563-05-25 at 09.11.55.png
 

สรุป คือการใช้คลื่นพลังงานเหล่านี้ในการเผาเนื้อชั้นในให้หดตัวโดยผิวข้างนอกไม่ถูกทําลาย การสร้างคอลลาเจนจากการบาดเจ็บ จะช่วยให้ผิวหนังหดตัวและดูตึงขึ้นได้ แต่ไม่น่าจะนานมากเท่าที่มีการโฆษณา คนที่ไม่พร้อมจะรับการผ่าตัดหรือการหยุดงานจะเหมาะกับวิธีเหล่านี้ แต่ต้องทําสม่ำเสมอซึ่งอาจช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถทดแทนการผ่าตัดได้ แต่วิธีการเหล่านี้จะมีประโยชน์มาก ถ้านํามาใช้ร่วมกับการผ่าตัด เป็นการเสริมซึ่งกันและกัน

การใช้ไหมในการยกกระชับใบหน้า การใช้ไหมเริ่มเป็นที่นิยมทางศัลยกรรมตกแต่งมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.2012 โดยศัลยแพทย์ชาวรัสเซียเสนอ การนําไหมก้างปลามาใช้ในการยกกระชับใบหน้า และแพร่หลายไปทั่วโลก จนมีการพัฒนาไหมชนิดใหม่ๆขึ้นมาเพื่อแก้ข้อด้อยของไหมก้างปลาที่ได้ผลระยะสั้นๆ โดยเฉพาะทําให้มีการเกาะเกี่ยวที่แข็งแรงขึ้น เช่น ไหมรูปกรวย ไอศกรีม ไหมชนิดตาข่าย (mesh thread) และไหมรุ่นใหม่อีกหลายชนิด ที่มีก้างปลาแข็งแรงกว่าเดิม

การผ่าตัดด้วยไหมแม้จะดูง่าย แต่จะให้ได้ผลดีต้องอาศัยความรู้พื้นฐานทางศัลยกรรมพอควรจึงได้มีการพัฒนาไหมชนิดใหม่ที่ใช้ได้ง่ายเป็นไหมละลาย ที่เรียกว่า PDO เป็นไหมที่เหมือนไหม PDO ปกติ ที่ศัลยแพทย์ตกแต่งใช้เย็บแผลมานานแล้ว เพียงแค่นําไหมมาสอดลอยๆใต้ผิวหนัง โดยโฆษณาว่าจะช่วยยกกระชับหน้าให้ตึงได้

ไหมชนิดนี้ผลิตจากเกาหลี โดยมีหมอจากประเทศเกาหลีมาสอนและสาธิตให้แพทย์ที่สนใจจึงได้รับความนิยมมากเพราะทำได้ง่ายแม้เพิ่งจบแพทย์ มาเป็นแพทย์ทั่วไป

ต่อมาความจริงปรากฎว่าไม่ได้ผลอะไรเนื่องจากระยะแรกจะดูดีเพราะการบวมมากกว่า จึงได้มีการผลิตไหม PDO ที่มีการเกาะเกี่ยวแบบไหมรุ่นแรกขึ้นมาอีก มีการเกาะเกี่ยวดีขึ้น แต่มักเป็นไหมลอยๆ ได้ผลดีกว่าไหม PDO เรียบๆแบบเดิม แต่ไม่ได้ดีกว่าไหมก้างปลาที่มีการใช้มามากกว่าสิบปีแล้ว

ไหมที่จะสามารถยกกระชับหน้าได้จริงๆต้องเป็นไหมที่มีการเกาะเกี่ยวที่แข็งแรง มีแผลผ่าตัดขนาดเล็ก เพื่อเป็นจุดยึดเวลาดึงผิวหนังที่หย่อนคล้อยขึ้นมา และหลังผ่าตัดต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที ไม่ใช่แค่บวมและแจ้งว่าให้รอคอลลาเจนอีก 2-3 เดือน แบบที่พบบ่อยหลังร้อยไหมที่ไม่ได้มาตรฐาน

การร้อยไหมชนิดเกาะเกี่ยว มีสองวิธีคือ ชนิดเกาะเกี่ยวสองทางและเกาะเกี่ยวทางเดียว (ดังรูป) ชนิดเกาะเกี่ยวสองทางทำได้ง่ายกว่า ไม่ต้องเปิดแผลผ่าตัด ชนิดเกาะเกี่ยวทางเดียวจะมีความแข็งแรงกว่า เพราะมีการผูกตรึงยึงตอนบนที่แข็งแรง โอกาสที่จุดเกาะเกี่ยวจะคลายตัวจึงน้อยกว่า (ดังรูป)

 
ไหมเกาะเกี่ยวสองทาง และไหมเกาะเกี่ยวทางเดียว ตามลำดับ

ไหมเกาะเกี่ยวสองทาง และไหมเกาะเกี่ยวทางเดียว ตามลำดับ

 

เอ็นโดไทน์ (ENDOTINE) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการยกกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ความจริงมีหลักการเดียวกับไหมที่มีการเกาะเกี่ยว แต่ผลิตเป็นชิ้นที่ใหญ่กว่าไหมที่เราใช้อยู่ โดยทําจากวัสดุที่สามารถละลายได้เช่นเดียวกับไหมละลาย ทําเป็นชิ้นต่างๆ ตามชนิดของงาน เช่น Endotine Ribbon ใช้ยกหน้า, Endotine Brow ใช้ยกคิ้ว, หรือชนิดที่ใช้ยึดไหมเวลาดึงหน้าผากด้วยกล้อง

 
Screen Shot 2563-05-25 at 09.20.55.png
 

ข้อดีของ Endotine คือมีการเกาะเกี่ยวที่แข็งแรงในระยะแรก แต่ข้อเสียคือ การผ่าตัดต้องมีการเลาะตามแนวทางที่จะใช้วางชิ้นงานลงไป ซึ่งจะทำให้มีอาการบวมมากกว่าใช้ไหม

อย่างไรก็ดีวัสดุเหล่านี้จะได้ผลดีมากน้อยขึ้นกับประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ว่าถนัดชนิดใด เพราะทั้ง Endotine และไหมเกาะเกี่ยว จะมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถอธิบายผลการแก้ไขการหย่อนคล้อยของใบหน้าได้ดีกว่าและเห็นผลทันทีมากกว่าใช้ไหมละลายที่ PDO เกี่ยวลอยๆในผิวหน้า ที่เรียกว่าร้อยไหมซึ่งทํากันอยู่มากมาย

การดึงหน้าเฉพาะส่วน หรือ การดึงหน้าโดยมีแผลขนาดเล็ก เป็นการผ่าตัดที่พัฒนามาเพื่อลดขนาดแผลผ่าตัด ให้มีการบวมน้อยลง และลดระยะเวลาการพักฟื้นหลังผ่าตัดมีศัพท์ทางการแพทย์ที่เรียกการผ่าตัดเหล่านี้ เช่น minilift, temporal lift, MACS lift etc. การผ่าตัดแบบนี้ไม่ใช่วิธีใหม่ ดังที่ศัลยแพทย์แต่ละคนพยายามจะดัดแปลงวิธีมาตรฐาน แล้วพยายามเรียกช่ือให้ดูแปลกใหม่ ดังที่เคยเป็นข่าวดัง เช่น face off, face lock เป็นต้น เพราะที่จริงแล้วชื่อเหล่านี้ไม่มีความหมายมาก เนื่องจากความจริง ก็คือการทำ face lift แบบหนึ่งเท่านั้น

การผ่าตัดดึงหน้า (face lift) เป็นวิธีมาตรฐานที่ได้ผลมากที่สุดแต่ก็จะบวมและมีการพักฟื้นนานที่สุดเช่นกัน โดยผู้ป่วยจะต้องมีแนวแผลผ่าตัดยาว จากไรผมบริเวณขมับ ผ่านหน้าหู มาจนถึงใต้ติ่งหู หรือหากมีการดึงส่วนคอร่วมด้วย ก็อาจจะเลยมาถึงหลังหู การผ่าตัดชนิดนี้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด และผลการผ่าตัดจะคงอยู่นานที่สุด เนื่องจากมีการตัดหนังส่วนเกินออกด้วย แต่ไม่ใช่ว่าจะอยู่นานเป็น 10 ปี

การผ่าตัดดึงหน้าโดยมาตรฐานแล้ว ให้การคาดหวังไว้ที่ 5 ปี ถือว่าเพียงพอ เพราะคนเราจะต้องแก่ ผิวหนังที่ดึงไว้ก็ย่อมเสื่อมตามกาลเวลา ดังนั้น การรักษาอื่นๆที่กล่าวมา ย่อมได้ผลลดหลั่นกันไป ตามแผนภูมิ ประกอบด้านท้าย

4. Refill

การเติมเต็มการรักษาวิธีนี้เป็นแนวคิดที่เกิดหลังจาก 3 วิธีข้างต้น เนื่องจากพบว่าเมื่ออายุมากขึ้นผิวหน้านอกจากจะหย่อนคล้อยลงแล้ว ยังมีการฝ่อของชั้นไขมัน และการบอบบางของผิวหนังร่วมด้วย จะเห็นได้ชัดที่บริเวณรอบกระบอกตาและขมับ ดังนั้นการเติมเต็มจะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้

สารเติมเต็มที่รู้จักกันดีคือ ฟิลเลอร์ (Filler) เช่น การฉีดฟิลเลอร์ปิดร่องตาร่องแก้ม การฉีดฟิลเลอร์ต้องทำด้วยความระมัดระวังและต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทางที่ผ่านการฝึกอบรมมา เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ที่เกิดขึ้นหลายรายในเมืองไทย คือภาวะตาบอด เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

สารเติมเต็มที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือไขมันของตัวเราเอง ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันด้วยเหตุผลหลายประการคือมีความปลอดภัยเพราะไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมอีกทั้งได้ผลการเติมเต็มที่เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีการพิสูจน์แล้วว่าไขมันเป็นส่วนที่สามารถสร้างสเตมเซลล์ที่จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหน้าได้

อย่างไรก็ดี สเตมเซลล์ ยังเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ที่แน่ชัด การเชิญชวนให้ฉีดไขมันหรือสเตมเซลล์ จากแหล่งใดก็ตามเพื่อฟื้นฟูผิวโดยตรง จึงยังเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ดังนั้นการฉีดไขมันที่หน้า เราจึงหวังผลการเติมเต็มด้วยเนื้อเยื่อธรรมชาติของเราเอง ผลที่ได้รับในส่วนที่คงอยู่หลังสามเดือน จะเป็นไขมันที่มีชีวิต จึงอยู่ได้ถาวรกว่าฟิลเลอร์ ผลการฟื้นฟูเซลล์ผิวหน้าจากสเตมเซลล์เป็นผลพลอยได้ที่ยังไม่แน่นอนและกําลังรอการพิสูจน์

กล่าวโดยสรุปการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์มีหลักการ 4 R ตามที่กล่าวมาแล้ว

แต่ละวิธีมีข้อบ่งชี้และประสิทธิภาพท่ีต่างกัน มีความจริงที่ควรรู้อย่างหนึ่งคือทำมากได้มาก ทำน้อยย่อมได้น้อย ซึ่งสามารถประยุกต์ได้กับวิธีการรักษาที่กล่าวมาได้ว่าวิธีการใดๆท่ีทําน้อยเจ็บน้อยและพักฟื้นน้อยย่อมได้ผลน้อยกว่าวิธีที่ทำมากกว่า แต่การจะเลือกวิธีใดก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความเหมาะสมแต่ละคนมากกว่า ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำวิธีที่ได้ผลดีที่สุดเสมอไป

 
แผนภูมิแสดงถึงลําาดับการแปลี่ยนแปลงที่ได้รับในวิธีการฟ้ืนฟูผิวหน้าแบบต่างๆ จะเห็นว่าการผ่าตัดดึงหน้าได้ผลมากที่สุด แต่ก็จะมีระยะพักฟื้นที่มากที่สุดด้วย

แผนภูมิแสดงถึงลําดับการแปลี่ยนแปลงที่ได้รับในวิธีการฟื้นฟูผิวหน้าแบบต่างๆ จะเห็นว่าการผ่าตัดดึงหน้าได้ผลมากที่สุด แต่ก็จะมีระยะพักฟื้นที่มากที่สุดด้วย

 

เลือกทําหน้าอย่างไร?? ให้เหมาะสมสวยงาม

การดูแลสุขภาพโดยรวมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดจากนั้นสำรวจดูว่าปัญหาของเราอยู่ส่วนไหน เช่นอายุยังน้อยผิวหนังไม่หย่อนคล้อย การแก้ริ้วรอยโดยโบทูลินัมท็อกซิน (botulinum toxin) หรือการใช้ครีมบํารุงผิวก็ช่วยได้ ไม่ต้องไปแสวงหาการร้อยไหมเพื่อเพิ่มคอลลาเจน เพราะเรามีคอลลาเจนตามวัยที่ดีอยู่แล้ว

การกระตุ้นคอลลาเจนโดยการทําให้เกิดบาดแผลข้างใต้ผิวหนังไม่ว่าจะใช้เข็มทิ่มแทงหรือใช้พลังงานเผาก็คือการทําให้เกิดแผลเป็นโดยไม่จําเป็น คอลลาเจนกับแผลเป็นคือเซลล์กลุ่มเดียวกัน ถ้าเรียงตัวไม่เป็นระเบียบก็คือ แผลเป็น สังเกตดูผิวหนังคนที่ถูกไฟไหม้แล้วเป็นแผลเป็น ผิวหนังจะตึง หน้าไม่เหี่ยวย่น แล้วเราจําเป็นต้องมีแผลเป็นด้านในเช่นนั้นหรือ

สถานบริการความงามมักเชิญชวนให้คนอายุน้อยมาร้อยไหมหรือใช้เครื่องมือกระตุ้นคอลลาเจนผิวหน้า อ้างว่าเป็นการป้องกัน แล้วใช้รูปแสดงว่าได้ผลดี ความจริงคือไม่ทําก็ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนบวมจะดูใสขึ้นบ้าง

เมื่อผิวหนังเริ่มเสื่อมตามวัย ก็จะเกิดการหย่อนยาน ซึ่งจําเป็นต้องใช้ พิจารณาว่าอาการนั้นเป็นมากน้อยแค่ไหน ถ้ายังไม่มากนัก สามารถเลือกการกระตุ้นเซลล์ได้เลย โดยต้องเข้าใจว่าเครื่องมือเหล่านี้มีหลักการเดียว คือเผาเนื้อด้านในให้ผิวหนังหด เราเลือกชนิดที่เหมาะกับงบประมาณของเรา และความเจ็บปวดระหว่างทําที่เรารับได้ อย่าลืมว่าเครื่องมือพวกนี้ต้องมีความเจ็บปวดจากความร้อนบ้าง ถ้าไม่เจ็บเลยก็คือไม่ได้เผาให้หดตัวเลย

ถ้าคิดว่าปัญหาที่เป็นอยู่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนกว่า หรือทำการกระตุ้นแล้วได้ผลน้อยมาก ก็เลือกดูว่าเรามีเวลาพักฟื้นนานมากน้อยแค่ไหน ถ้ามากกว่าสองสัปดาห์ อาจเลือกการดึงหน้ามาตรฐานเลยก็ได้ ถ้ามีเวลาน้อยกว่านั้น การใช้วิธีการผ่าตัด mini face lift หรือใช้ไหม ซึ่งมีแรงเกาะเกี่ยวที่แข็งแรง ก็จะได้ผลดี

ปัจจุบันนี้ มีเทคนิคในการกระตุ้นที่ได้ผลการเปลี่ยนแปลงในระยะแรกได้เท่าเทียมกับการผ่าตัดดึงหน้า ถ้าทำถูกต้อง เพียงแต่การอยู่คงทนอาจน้อยกว่าบ้าง

ประการสุดท้ายคือ การเลือกสถานบริการเสริมความงาม ซึ่งหากเลือกสถานบริการความงามทั่วไป ที่อบรมระยะสั้นเฉพาะเรื่อง หรือใช้เครื่องมือเฉพาะ ที่มีไม่ได้ผ่านการเรียนรู้เรื่องกระบวนการฟื้นฟูใบหน้าที่ครอบคลุม ตั้งแต่สาเหตุ จนถึงกระบวนการรักษาทั้งหมด เหมือนที่แพทย์ผ่านการฝึกอบรมเป็นศัลยศาสตร์ตกแต่งดําเนินการให้ จะยิ่งทําให้ได้รับการแนะนําให้ใช้บริการแต่เฉพาะเครื่องมือ หรือวิธีที่มีในสถานบริการนั้นๆ ซึ่งอาจไม่มีความจําเป็นเลยก็เป็นได้

นพ .กมล วัฒนไกร

ThPRS of Thailand